วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ.2559 (ชดเชย)




บันทึกการเรียนครั้งที่ 9 (The nine classes)


โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล 

(Individualized Education Program)



  • แผน IEP
  • แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
  • เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
  • ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
  • โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก



IEP ประกอบด้วย
  • ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
  • ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
  • การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
  • เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
  • ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
  • วิธีการประเมินผล

ประโยชน์ต่อเด็ก
  • ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
  • ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
  • ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
  • ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ



ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล

1.การรวบรวมข้อมูล
  • รายงานทางการแพทย์
  • รายงานการประเมินด้านต่างๆ
  • บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง


2. การจัดทำแผน
  • ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
  • กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
  • กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
  • จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง



3. การใช้แผน
  • เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
  • นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
  • แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  • จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

4. การประเมินผล
  • โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
  • ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล





กิจกรรมที่ทำในชั้นเรียน

ใช้สีเทียนระบายเป็นวงกลมวนไปรอบๆใช้สีอะไรก็ได้ เป็นการทายลักษณะนิสัยลึกๆ
สีที่อยู่ในวงในบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยลึกๆถ้าเป็นสีแดง เป็นสีแห่งความร้อนเเรง มีความโรเเมนติก
ส่วนสีที่อยู่วงนอกสุด คือสิ่งที่เราเเสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น สีเขียวบ่งบอกถึง ความเป็นธรรมชาติ สงบ



จากนั้นให้ทุกคนนำเอาวงกลมที่ตัวเองระบายสี ร่วมกันแปะบนต้นไม้




  • อาจารย์มอบรางวัลเด็กดี







ประเมิน

- อาจารย์ เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพ
สอนเนื้อหาได้ครบถ้วน มีกิจกรรมให้ทำเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น

- เพื่อน เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ตอบคำถามครูได้ชัดเจนเเละเพื่อนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน

-ตัวเอง
 เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูสอน





วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559



บันทึกการเรียนครั้งที่ 8 (The eight classes)



การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม

        เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ



-เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
-ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด 
-เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)

1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
-เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
-เกิดผลดีในระยะยาว
-เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
-แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
-โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
-การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training)
-การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
-การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)

 3. การบำบัดทางเลือก
-การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
-ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
-ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
-การฝังเข็ม (Acupuncture)
-การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)

การสื่อความหมายทดแทน 

(Augmentative and Alternative Communication ; AAC)

-การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
-โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
-เครื่องโอภา (Communication Devices)
-โปรแกรมปราศรัย







การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ

1. ทักษะทางสังคม
-เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
-การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข


2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
-เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
-ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
-ถามหาสิ่งต่างๆไหม
-บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
-ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม


3. ทักษะการช่วยเหลือตนเองเรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด

-การกินอยู่ 

-การเข้าห้องน้ำ 

-การแต่งตัว 

-กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน





4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียนการช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ 
-มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
-เด็กรู้สึกว่า ฉันทำได้
-พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นจัดกลุ่มเด็ก
-เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
-ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
-ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
-ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
-อยากสำรวจ อยากทดลองการวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ


ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น

-อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
-ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
-ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
-เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
-ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม



ประเมิน

- อาจารย์ เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพ
สอนเนื้อหาได้ครบถ้วน มีกิจกรรมให้ทำเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น

- เพื่อน เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ตอบคำถามครูได้ชัดเจนเเละเพื่อนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน

-ตัวเอง

 เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูสอน





วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ.2559



บันทึกการเรียนครั้งที่ 7 (The seven classes)

  การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย



รูปแบบการจัดการศึกษา

- การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
-การศึกษาพิเศษ (Special Education)
-การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)



 การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้

และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม

กับความต้องการพิเศษของเขา


ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม
(Integrated Education หรือ Mainstreaming)

การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป

มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน

ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน



การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)

การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา

เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ

เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้


การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)

การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน

เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ





Wilson , 2007

การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก

การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน




สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน 

ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้

ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า

การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)



บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้


ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
 เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
 ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป


การบันทึกการสังเกต
การนับอย่างง่ายๆ นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง ให้รายละเอียดได้มาก
เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง บันทึกลงบัตรเล็กๆ
เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง






กิจกรรมที่ทำในห้อง วาดภาพดอกบัวตามสิ่งที่เราเห็นเเละอธิบายภาพดอกบัว

ซึ่งกิจกรรมนี้เปรียบเหมือนการที่เรามองเด็กพิเศษว่าเรามองเด็กอย่างไร เห็นอะไรในตัวเด็ก








ประเมิน
- อาจารย์ เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพ
สอนเนื้อหาได้ครบถ้วน มีกิจกรรมให้ทำเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น

- เพื่อน เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ตอบคำถามครูได้ชัดเจนเเละเพื่อนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน

-ตัวเอง
เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูสอน


วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2559



บันทึกการเรียนครั้งที่ 6 (The six classes)






8.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
 (Children with Behavioral and Emotional Disorders)

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
-ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
-ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต

 การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ตามกลุ่มอาการ

ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
-ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
-ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
-กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
-เอะอะและหยาบคาย

ด้านความตั้งใจและสมาธิ
(Attention and Concentration)
-จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
-ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา




สมาธิสั้น (Attention Deficit)
-มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา
-พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
-มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ

การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
-หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
-เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
-ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก

ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย
(Function Disorder)
-ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder)
-การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
-การปฏิเสธที่จะรับประทาน
-รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้

ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
-ขาดเหตุผลในการคิด
-อาการหลงผิด (Delusion)
-อาการประสาทหลอน (Hallucination)
-พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง

สาเหตุ
-ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology)
-ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial)

9.เด็กสมาธิสั้น
(Children with Attention Deficit Hyperactivity Disorders)

ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช
มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ
-Inattentiveness
-Hyperactivity
-Impulsiveness

Inattentiveness สมาธิสั้น
-ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
-ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
-มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย

Hyperactivity ซนไม่อยู่นิ่ง
-ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
-เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
-เหลียวซ้ายแลขวา

Impulsiveness หุนหันพลันแล่น
-ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
-ขาดความยับยั้งชั่งใจ
-ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ



9. เด็กพิการซ้อน
(Children with Multiple Handicaps)

-เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด


ประเมิน
-อาจารย์
อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา  ให้คำปรึกษากับเรื่องการเรียน สอนได้เข้าใจในเนื้อหา

-เพื่อน
เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย  ตอบคำถามเมื่อครูถามอย่างชัดเจน

-ตัวเอง

เเต่งกายเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงเวลา  ตั้งใจฟัง